วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย


การสอนการคิดในระดับปฐมวัยมีความสำคัญมากในปัจจุบันดังที่ คอสเทลโล(Costello.2000: 4-5)ได้แสดงความคิดเห็นถึงการสนับสนุนการสอนการคิดในระดับปฐมวัยว่าการจัดการเรียนการสอนการคิดสำหรับเด็กปฐมวัยในปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะการคิดเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1999 กระทรวงการศึกษา ของประเทศอังกฤษ ได้จัดการประชุมเรื่อง โรงเรียนแห่งการคิดไปสู่ห้องเรียนแห่งการคิด ในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบไปด้วยผู้บริหารทางการศึกษาและเจ้าหน้าที่ทางการศึกษา ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการประชุมไว้ 5 ประการดังนี้คือประการแรกเพื่อวิเคราะห์ความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับทักษะการคิดและบทบาทของเด็กๆในกระบวนการเรียนรู้ ประการที่สองเพื่อระบุวิธีการในปัจจุบันที่มีต่อการพัฒนาการคิดของเด็กและการประเมินอย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สามเพื่อพิจารณาว่าทำอย่างไรครูจะสามารถบูรณาการทักษะการคิดเข้าไปในการเรียนการสอนของครู ประการที่สี่เพื่อระบุบทบาทในการใช้ นวัตกรรมทางการสื่อสารและข้อมูลในการสนับสนุนการเข้าถึงทักษะการคิดของเด็ก ประการที่ห้าประเมินการวิจัยในปัจจุบันและอนาคตจากคำถามที่ว่าทำอย่างไรจะสามารถนำการคิดเข้าสู่การปฏิบัติในชั้นเรียน ดังนั้นจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาให้ความสำคัญต่อการสอนคิดตั้งแต่ระดับปฐมวัยโดยบูรณาการทักษะการคิดเข้าไปในการเรียนการสอนของครูและระบุบทบาทในการใช้นวัตกรรมทางการสื่อสารและข้อมูลในการสนับสนุนการเข้าถึงทักษะการคิดของเด็กในชั้นเรียน

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เทคนิคการใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย

เทคนิคการใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย



เทคนิคการใช้สื่อการสอนเป็นกลวิธีในการใช้สื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สื่อการสอนเป็นตัวกลางนำความรู้จากครูไปสู่เด็กทำให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย รวดเร็ว เพลิดเพลิน สื่อสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นสื่อของจริงเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสคือ การมอง การฟัง การสัมผัส การดมกลิ่นและการชิมรส สื่อเป็นสิ่งเร้าที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยแสดงพฤติกรรมต่างๆเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและการเรียนรู้
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษาจากการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น จากการฟังคนพูดและขณะทำกิจกรรมในสถานการณ์ต่างๆ เด็กจะพยายามเข้าใจในสิ่งที่เขาได้ยินและแสดงออกด้วยความตั้งใจในสิ่งที่เขาทำได้ อายุ 3 – 4 ปี สามารถเรียนรู้ความซับซ้อนของประโยคได้ เรียนรู้กฎของภาษาจากภาษาพูดที่เขาได้ยิน สามารถสร้างประโยคขึ้นใหม่ในการสื่อสารมากกว่าการเรียนแบบ มีคำศัพท์ที่ใช้ในการพูดมากกว่า 1000 คำ เรียนรู้คำและความหมายโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและสิ่งของหรือพฤติกรรม เช่น เด็กเรียนรู้คำว่า ตุ๊กตา เมื่อแม่ยื่นตุ๊กตาให้แล้วบอกว่า ตุ๊กตา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากการเชื่อมโยงกับสิ่งของ การเรียนรู้จะง่ายขึ้นถ้าเด็กมีประสบการณ์เดิมมาก่อน ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญของของการแสดงความคิด
การฝึกทักษาทางภาษาประกอบด้วยการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ของเด็กปฐมวัยมุ่งเน้นการสื่อสารอย่างมีความหมายโดยใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
เทคนิคการใช้สื่อเพื่อเพิ่มพูนความสามารถด้านการฟังของเด็ก
ถ้าต้องการให้เด็กเป็นผู้ฟัง ครูหรือผู้ปกครองควรฟังเด็กพูด เมื่อเด็กเล่าประสบการณ์หรือแสดงความคิดเห็นจบ ครูควรกล่าวชม เช่น ความคิดของหนูดีมาก แหมเล่าเรื่องได้ดีจริง การเสริมแรงเช่นนี้จะทำให้เด็กมีกำลังใจ เกิดความภาคภูมิใจและอยากที่จะเสนอความคิดของตนอีกในชั้นเรียนปฐมวัยมีหลายกิจกรรมที่ฝึกเด็กให้รู้จักฟังเช่น กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การเล่านิทาน นอกจากนี้ยังเป็นการฟังที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เทคนิคการใช้สื่อเพื่อเพิ่มพูนความสามารถด้านการฟังของเด็กมีดังนี้
  • โคลงกลอน ร้อยแก้ว
  • เพลง เช่น เพลงพื้นบ้าน เพลงตามสมัยนิยม
  • เสียงจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงจากในครัว จากสนามเด็กเล่น นาฬิกา โทรศัพท์และจากยานพาหนะ เป็นต้น
  • เสียงการใช้วัตถุโยนลงพื้นแข็งๆ หรือพื้นที่นุ่มๆ วัตถุที่ใช้โยนอาจเป็นหมอน บล็อก ก้อนหิน ผ้าพันคอ ตะปู โยนถุงที่บรรจุของ ต่อไปให้เด็กหลับตาทายว่าครูโยนอะไร
  • ฟังจังหวะ เช่น เสียงเครื่องดนตรีเคาะจังหวะเร็วช้า เสียงการเต้นของหัวใจเพื่อน เสียงนาฬิกา
  • ฟังเสียงจากขวดบรรจุน้ำ
  • ฟังคำสั่ง ถ้าอายุประมาณ 3 ขวบควรเป็นคำสั่งสั้นๆ อายุมากขึ้นควรฝึกฟังเป็นประโยค หรือ ฟังคำสั่งซ้อนกัน2-3คำสั่ง
  • ฟังคำถาม
  • ฟังโดยมีกติกาจากการเล่นเกม
  • ทายเสียงจากการฟังเครื่องบันทึกเสียง
  • ฟังนิทาน เช่นนิทานที่มีคำซ้ำ ฟังจนจบเรื่องแล้วจับใจความ เป็นต้น การอ่านหนังสือหรือนิทานให้เด็กฟัง สามารถใช้เป็นวิธีการนำเข้าสู่บทเรียนได้ถ้าหนังสือนั้นให้ข้อมูลที่เป็นจริงและมีภาพประกอบที่น่าสนใจจะกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจขึ้นได้แต่ครูต้องมั่นใจว่าเด็กเข้าใจคำศัพท์และความหมายในเรื่องนั้นๆ
  • ฯลฯ

ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย


กิจกรรมวิทยาศาสตร์ช่วยให้เด็กรู้โลกรอบตัวด้วยความเข้าใจคือการที่เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตัวเอง ได้เป็นผู้จัดระบบอุปกรณ์ ทำให้เด็กได้สำรวจ ตั้งคำถาม ใช้เหตุผลและแสวงหาคำตอบจากกิจกรรมทางกายและทางสมอง วิธีการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญต่อคำถามว่า ทำอย่างไร อะไรบ้าง ที่สามารถเรียนรู้ได้ การให้ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าของเด็กในการสร้างองค์ความรู้ ทำให้เกิดเจตคติที่ดีต่อแสวงหาความรู้ในห้องเรียน
ในอดีตที่ผ่านมากิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเน้นอธิบายวิธีการหรือทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในด้านต่างๆเช่น การสังเกต การจำแนกประเภท การวัด การสื่อความหมาย การทดลอง การพยากรณ์ การลงความเห็น การออกแบบการค้นคว้า การตีความผลของการทดลอง (การสรุป) และการอธิบายโครงสร้างจากข้อมูล ความซับซ้อนของกระบวนการ การสังเกตและการทดลอง ทำให้มองเห็นพฤติกรรมของเด็ก เนื่องจากการคิดของเด็กพัฒนาเป็นขั้นตอน ขั้นสุดท้ายของการคิดคือความเข้าใจเป็นนามธรรม เด็กสามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการเพิ่มความซับซ้อนของการทดลองซึ่งบางครั้งทำให้เพิ่มความเข้าใจจากกิจกรรมการแสวงหาความรู้
การปฏิรูปการสอนวิทยาศาสตร์ศึกษาได้บูรณาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปกับการแสวงหาความรู้ จุดเด่นของการแสวงหาความรู้คือ ความสามารถในการแสวงหาความรู้และการพัฒนาเกี่ยวกับความเข้าใจในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนทุกระดับและทุกจุดมุ่งหมายทางวิทยาศาสตร์จะใช้ทักษะการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาความสามารถทางการคิดและการกระทำซึ่งประกอบด้วย การตั้งคำถาม การวางแผนและการสืบค้น การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีเหตุผลในการสืบค้นหลักฐาน การนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสร้างความเข้าในและการเผยแพร่(Committee on Development of an Addendum to the National Science Education Standard on Scientific Inquiry(CDANSESSI).2000: 134)
ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถในการค้นหาความรู้ด้วยการลงมือกระทำอย่างเป็นระบบจนเกิดความเข้าใจประกอบด้วย ความสามารถ 5 ด้าน ดังนี้ การตั้งคำถาม การสืบค้น การใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูลสร้างความเข้าใจและการเผยแพร่ความรู้ที่ค้นพบ(อัญชลี ไสยวรรณ. 2548:26 )

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กิจกรรมเสรี (Unstructured Activities)

กิจกรรมเสรี (Unstructured Activities)


กิจกรรมเสรีเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างอิสระ โดยมีจุดมุ่งหมายส่งเสริมให้เด็กคิดตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการวางแผนการเล่นของตนเอง ในขณะเดียวกัน เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมด้วยการเล่นกับเพื่อนและผู้อื่น

กิจกรรมเสรีมีความสำคัญและความเป็นมาอย่างไร?

กิจกรรมเสรีหรือกิจกรรมเล่นตามมุมที่โรงเรียนจัดให้เด็กเล่นอย่างอิสระ เป็นกิจกรรมหลักกิจกรรมหนึ่งตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเล่นอย่างอิสระจากของเล่นตามมุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ในห้องเรียน เช่น มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมธรรมชาติ มุมบ้าน มุมร้านค้า เป็นต้น นอกจากจะให้เด็กเล่นตามมุมแล้ว ครูอาจจะให้เด็กทำกิจกรรมที่ครูจัด เช่น เกมการศึกษา เครื่องเล่นสัมผัส กิจกรรมสร้างสรรค์ประเภทต่างๆ ซึ่งการจัดกิจกรรมเสรีนี้เป็นการให้เด็กได้เล่นอิสระ ตอบสนองความสนใจของตนเอง เด็กจึงมีโอกาสได้คิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาและพัฒนาความรู้ โดยผู้ใหญ่เลือกใช้วิธีการส่งเสริมให้เด็กเล่นด้วยวิธีการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก ให้เด็กได้คิดรูปแบบการเล่นตามความสนใจและความต้องการ ทั้งที่เล่นเป็นรายเดี่ยวและเล่นเป็นรายกลุ่ม จึงเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้การเข้าสังคมของเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพราะการเล่นเป็นกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตเด็กทุกคน เด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้สังเกต ได้เรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่น มีโอกาสทำการทดลอง สร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา และค้นพบด้วยตนเอง ได้ใช้ประสาทสัมผัส การรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และแสดงออกถึงตนเอง ผลจากเล่นจะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึ่งจะพัฒนาลักษณะทางสังคมของเด็กปฐมวัยผ่านการเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เช่น การให้ความร่วมมือ การเป็นผู้นำผู้ตาม การเห็นอกเห็นใจ การแบ่งปันสิ่งของ การช่วยเหลือตนเอง และการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้

กิจกรรมเสรีมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?

การเล่นเสรีหรือกิจกรรมเสรีมีประโยชน์ต่อเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกส่วน ดังนี้
  • ด้านร่างกาย เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่
  • ด้านอารมณ์-จิตใจ เด็กจะร่าเริงเบิกบาน มีอิสระในการเลือกเล่นสิ่งที่ตนสนใจ เด็กได้ระบายอารมณ์และความรู้สึกขณะเล่น ผ่อนคลายความตึงเครียด
  • ด้านสังคม เด็กรู้จักตนเอง รู้จักบุคคลรอบด้าน (จากการเล่นสมมุติ) รู้จักเพื่อนที่เล่นด้วย ขณะเล่นเด็กได้มีโอกาสรู้จักบทบาทของตนเองและผู้อื่น รู้จักการผ่อนปรนและรอคอย อดทนต่อความไม่สมหวัง รู้จักการแบ่งปัน รู้จักการร่วมมือกับคนอื่น เป็นต้น
  • ด้านสติปัญญา เด็กได้หัดใช้ความคิด ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้มีโอกาสสืบค้นหาคำตอบหรือบางครั้งการเล่นทำให้เด็กได้สร้างความรู้ โดยไม่ต้องจัดกิจกรรมอย่างเป็นทางการ เช่น การที่เด็กเล่นน้ำ เด็กกรอกน้ำใส่ขวด เด็กจะได้เห็นน้ำไหลผ่านปากขวดไปอย่างง่ายดาย แตกต่างจากการเอาก้อนหินใส่ขวดและหากก้อนหินก้อนใหญ่กว่าปากขวด ก้อนหินจะไม่ผ่านปากขวดไป เด็กได้เห็นน้ำแปรเปลี่ยนรูปร่างเช่นเดียวกับขวด เห็นมือของเขาเปียกน้ำ แต่สักครู่มือก็แห้งได้ น้ำหายไปไหน เป็นต้น การเล่นเสรีจึงเป็นส่วนการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก

ครูจัดกิจกรรมเสรีให้ลูกที่โรงเรียนอย่างไร?

ในการจัดกิจกรรมเสรีที่โรงเรียน ครูจะจัดศูนย์การเรียนไว้ในห้องเรียนให้เด็กเลือกเล่นตามความสนใจ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • มุมศิลปะ เด็กอาจเล่นปั้นดินเหนียวหรือปั้นแป้งที่ผสมน้ำแล้ว ดินเหนียวหรือแป้งนั้นจะเป็นรูปร่างกลม รูปแบน รูปเหลี่ยม หรืออื่นๆ ได้ตามที่เด็กทำขึ้น แต่หากนำทรายร่วนหรือ แป้งร่วนมาปั้น ก็ไม่สามารถปั้นเป็นรูปร่างได้ การเล่นจึงเป็นประโยชนต่อเด็ก ขณะเด็กเล่นเด็กได้สังเกตจากการสัมผัสวัตถุ ประสาทสัมผัสของเด็กได้ทำงาน ดังการปั้นแป้งหรือดินเหนียวที่กล่าวมานั้น มือเด็กสัมผัสแป้ง เด็กรับรู้ความชื้นของแป้ง จมูกได้กลิ่นแป้งดิบ ตาได้เห็นสี รูปร่างของแป้งที่ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ เด็กจึงรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสตา หู ผิวหนัง จมูก เป็นผลให้เกิดการสร้างปัญญาและความคิดของเด็กงอกงาม ทั้งนี้เพราะเกิดการสร้างกระบวนการทางสมองในการคิดเพื่อการเรียนรู้ การรับรู้ด้วยการสัมผัส การเพิ่มพูนความรู้ของเด็กเกิดการสัมผัสของเล่นและบุคคล
  • มุมเกมการศึกษา เด็กได้รู้จักการจัดพวก การลำดับ การสังเกต จำแนก ทำนาย สรุปภาพการเปรียบ หาเหตุผลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดปัญญาและความสามารถทางวิชาการ เด็กจะเล่นผ่านการใช้ร่างกาย (Sensory motor) หรืออีกนัยหนึ่งคือการเล่นสำรวจ (Exploratory Play) คือ มีความสนใจ สงสัย กระตือรือร้นในสิ่งต่างๆ รอบตัว บางครั้งเด็กเล่นเลียบแบบ เพราะเด็กสังเกต เป็นความสามารถของเด็กที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นการกระทำที่เคลื่อนไหว มีอิริยาบถ มีการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ มีการทวนซ้ำ จะนำเด็กไปสู่การค้นพบ การแก้ปัญหา การเล่นสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเพราะเด็กเริ่มรู้คุณสมบัติของวัตถุบางชนิดแล้ว การเล่นสร้างสิ่งต่างๆนี้ผู้เล่นจะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมลักษณะต่างๆ โดยเด็กจะนำเอาประสบการณ์ต่างๆ ของตนเข้ามารวมกันทั้งอารมณ์ ความคิด เหตุผล จะสามารถแยกสิ่งแวดล้อมต่างๆ ออกได้ว่าแตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร แล้วนำมาหาความสัมพันธ์กัน
  • มุมบทบาทสมมุติ เป็นการเล่นลักษณะจินตนาการ ใช้สิ่งของแทนของเล่นและแทนสิ่งต่างๆ เช่น ใช้ม้านั่งสองขาแทนน้องเล็กๆ ใช้ใบไม้แทนมงกุฎนางฟ้า เป็นต้น ขณะเล่นเด็กจะเปลี่ยนของเล่นสมมุติเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เด็กอาจจะเอาท่อนไม้แทนบ้าน แล้วเติมสิ่งของหรือนำออก บ้านก็จะเปลี่ยนเป็นร้านค้าก็ได้โดยใช้คำพูดถ่ายทอดการเล่นออกมาแทน ทั้งนี้เพราะเด็กสามารถมองเห็นเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่ในใจหรือในจินตนาการของตนเอง การเล่นลักษณะเช่นนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนและบ่อยๆ เด็กจะแสดงออกถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ขณะเล่นด้วยการเล่นไปพูดไป (Verbal Play) เด็กจะพูดเกี่ยวกับโลกของตน คำพูดอาจจะนำมาจากนิทานที่อ่านหรือฟังมา เช่น เล่นเป็นครู เล่นเป็นพ่อเป็นแม่ เด็กจะเริ่มเล่นกับเพื่อน มีเพื่อนมาเล่นจินตนาการร่วมกัน แต่จะเล่นสมมุติเป็นตัวละครที่แต่ละคนจินตนาการ แสดงถึงเด็กต้องการสังคมในการเล่นการเล่นสมมุติจะเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กก้าวไปสู่การพัฒนาการที่สูงกว่า การเล่นสมมุติจะมีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา ทางภาษา พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านสังคมเป็นต้น
  • มุมบล็อก เด็กเล่นสร้างก้อนไม้หรือไม้บล็อก นำมาต่อกันตามจินตนาการเป็นรูปทรงต่างๆ อย่างอิสระ
นอกจากนี้กิจกรรมเสรีอาจจัดนอกห้องเรียน ได้แก่ การเล่นน้ำ เล่นทราย จากบ่อน้ำ บ่อทราย ที่จัดขึ้นพร้อมจัดหาวัสดุของเล่นจากร้านค้าและวัสดุเหลือใช้นำมาประดิษฐ์ขึ้นคล้ายของจริง เช่น นำขวดน้ำพลาสติกมาตัดครึ่งเฉียงออกเป็นสองชิ้นใช้แทนเสียมตักดิน และกรวยกรอกน้ำ เป็นสิ่งที่เด็กชอบเล่นมาก ใช้ตักดิน กรอกน้ำเล่นที่มุมน้ำ มุมทรายที่จัดไว้นอกห้องเรียนเพราะเล่นเลอะเทอะเปรอะเปื้อนได้ ทำความสะอาดง่าย และสะดวก

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะช่วยส่งเสริม/เพิ่มเติมให้ลูกได้อย่างไร?

เด็กปฐมวัยจะเล่น และสร้างแบบการเล่นของตนเองอยู่แล้ว แสดงความเป็นตัวเองตามธรรม ชาติของเด็กวัยนี้ เด็กจะเล่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าที่บ้านหรือโรงเรียน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กผ่านการเล่นด้วยความรักและเข้าใจ เพื่อนเล่นของเด็กที่บ้านคือ พ่อแม่ ญาติ พี่น้องและเพื่อนบ้าน ลักษณะการเล่นที่บ้านของเด็กมีลักษณะสอดคล้องกับกิจกรรมเสรีที่โรงเรียน ครอบครัวสามารถสร้างกิจกรรมการเล่นให้แก่เด็กได้ง่ายๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมุติตามนิทาน เล่นต่อบล็อก เล่นน้ำ เล่นทราย พ่อแม่อาจหาทราย หาน้ำใส่กะละมัง หรืออ่าง พร้อมวัสดุตักดิน ตักน้ำ บางครั้งครอบครัวมีกิจกรรมไปเที่ยวชายหาด ลูกจะได้เล่นน้ำ เล่นทราย ที่บ้านจัดมุมหนังสือสำหรับเด็ก มุมดนตรี เป็นมุมส่งเสริมการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวได้ เพื่อส่งเสริมการเข้าสังคมของเด็กปฐมวัย ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมพื้นฐานที่อบรมเลี้ยงดูเด็ก บางครั้งพี่น้องวัยใกล้เคียงกันเขาเล่นสมมุติด้วยกันได้ พ่อแม่คอยสนับสนุนการเล่นของเด็ก การเล่นสมมุติอาจจะมีบทบาทอื่นเช่น เป็นบุคคลในชุมชน เป็นแม่ค้า เป็นบุรุษไปรษณีย์ โดยพ่อแม่เป็นผู้สนับสนุนการเล่น เป็นผู้จัดหาสื่อของเล่น และเป็นผู้คอยสัง เกตความสนใจและการเล่นของเด็ก คอยตั้งคำถามให้เด็กหัดคิดและตัดสินใจเล่น สิ่งสำคัญพ่อแม่คือผู้สร้างบรรยากาศที่ดีในการเล่น ใช้ภาษาสุภาพเหมาะสมกับเหตุการณ์ เพื่อให้เด็กได้เลียนแบบการเข้าสังคม กิจกรรมเสรีจึงเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยคือเด็กชอบเล่น และเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จากการเล่น และเด็กวัย 3-5 ปี เป็นระยะเข้าสู่สถานศึกษา จึงเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่สังคมของเด็กปฐมวัย

เกร็ดความรู้เพื่อครู

กิจกรรมเสรีเป็นลักษณะของการส่งเสริมการเล่นอย่างอิสระของเด็ก เด็กมีโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมจากการเล่นผ่านกิจกรรมเสรี ครูคือผู้สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก จึงควรคอยสังเกตเด็กขณะเด็กเล่น หากว่าบางมุมที่เด็กไม่สนใจเล่นแล้ว ครูควรปรับเปลี่ยนสื่อหรือเปลี่ยนเป็นมุมอื่น เช่น อาจดัดแปลงมุมบ้านเป็นมุมร้านค้า มุมหมอ ครูควรสอนให้เด็กคิดแก้ ปัญหาในกรณีที่บางมุมมีเพื่อนเข้าเล่นจำนวนมากเกินไป บางครั้งเด็กสนใจการเล่นมุมใดมุมหนึ่งเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เด็กขาดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านอื่น ครูควรชักชวนให้เด็กเรียนรู้มุมอื่นบ้าง และครูต้องมีการสับเปลี่ยนสื่อหรือเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เด็กเบื่อ