วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

อันตรายของ “วัยกระโดดโลดเต้น”

อันตรายของ “วัยกระโดดโลดเต้น”

ในแต่ละปีเด็กๆ ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะ “พลัดตกหกล้ม”นั้น มีไม่ใช่น้อยๆ เลย
การพลัดตกหกล้มนอกจากนำมาซึ่งการบาดเจ็บแขน ขา ใบหน้า ยังเสี่ยงต่อการเลือดคั่งในสมอง เพราะหัวกระแทกพื้น เนื่องจากศีรษะของเด็กจะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ล้มทีไรหัวก็มักถึงพื้นก่อน
“กระโดดโลดเต้น” นับได้ว่าเป็นกิจกรรมโปรด ซึ่งเป็นธรรมชาติของเด็กๆ ทุกวัยก็ว่าได้หนูน้อยวัย 1-1 ขวบ 6 เดือน เริ่มเดินได้ ก็เริ่มปีนขึ้นบันได คุณพ่อคุณแม่จะต้องช่วยดูช่วยสอนให้ใกล้ชิดครับ ทั้งยามขึ้นและลงบันได ถ้าไม่สามารถดูใกล้ชิดต้องมีรั้วกั้นที่บันได ไม่ให้เด็กขึ้นลงได้เอง
เด็กวัย 2 – 3 ขวบ นอกจากจะชอบปีนบันได เกาะราวเดินขึ้นลงได้แล้ว ยังชอบ “กระโดดโลดเต้น” อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่จะต้องคอยช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด และหัดให้ลูกใช้มือข้างหนึ่งจับราวบันได ค่อยๆ ก้าวเดินทีละขั้น
พอ 3 ปี เด็กวัยนี้จะเดินสลับขาขึ้นบันไดได้ เริ่มกระโดดสองขาจากพื้นได้ ก็จะเริ่มกระโดดลงจากที่สูงบ้างแล้ว คราวนี้ก็ต้องระวังแล้วครับ เพราะเดินลงมาถึงบันไดขั้นล่างๆ ก็จะเริ่มกระโดดลงแล้ว
บันไดควรติดตั้งประตูกั้นตั้งแต่ลูกเริ่มคลานได้แล้ว และต้องทำทั้ง 2 บาน คือกั้นทางขึ้น และทางลง นอกจากนั้นต้องมีกลอนล็อคไว้เสมอ และล็อคทุกครั้งหลังจากที่เปิดเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญต้องทำให้เปิดเข้าหาตัวได้เท่านั้น เพื่อกันไม่ให้เด็กผลัก หรือไถลตกลงไป
การเล่นบรรดาเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นก็เช่นกัน แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยให้ลูกแข็งแรง ร่าเริง แต่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กวัย 2 – 3 ขวบนะครับว่า ยังไม่สามารถปีนป่ายได้ดี เพราะพัฒนาการด้านการปีนป่ายที่ต้องใช้ทั้งพละกำลัง ทั้งการประสานงานของกล้ามเนื้อหลายมัดและสายตาจะทำได้สมบูรณ์ต้องอายุ 4-5 ปีขึ้นไป
เด็กๆ วัยชอบ “กระโดด” ยิ่งต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องเล่นและสนามเด็กเล่นให้มาก เพราะอันตรายจากสนามเด็กเล่นนั้น กว่า 70% เกิดจากการพลัดตกหกล้ม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่บางครั้งนำมาซึ่งการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ (เพราะหัวกระแทกพื้น)โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตกจากเครื่องเล่นที่อยู่สูงแล้วลงมากระแทกพื้น ทำให้เลือดคั่งในสมอง ดังนั้นพื้นสนามจะต้องมีความหนานุ่ม และควรเป็นพื้นทราย พื้นขี้เลื่อย หรือเป็นยางสังเคราะห์ ไม่ใช่เป็นพื้นแข็งๆ อย่างพื้นซีเมนต์ ยางมะตอย ทรายอัดแข็ง พื้นหญ้า หรือที่พบเห็นอยู่ไม่น้อย ก็คือ พื้นที่เกลื่อนไปด้วยก้อนกรวดก้อนหิน เศษอิฐ เศษปูน (เผลอๆ มีเศษแก้ว เศษตะปูด้วย)
พื้นทรายซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในการดูดซับพลังงานนั้น ก็จะต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร สำหรับเครื่องเล่นสูงไม่เกิน 1.20 เมตร หากเครื่องเล่นสูงเกินกว่านั้น ความหนาของพื้นทราย ก็ไม่ควรน้อยกว่า 30 เซนติเมตร นอกจากนั้นพื้นสนามที่ดี อาจทำมาด้วยยางสังเคราะห์ หรือวัสดุอื่นที่มีการทดสอบแล้ว นอกจากนั้นเครื่องเล่นทุกชิ้นต้องมีการยึดฐานรากให้มั่นคง ต้องวางห่างกันอย่างน้อย 150-180 ซ.ม. ต้องไม่เป็นสนิม ไม่เก่าผุๆ พังๆ ฯลฯ
อีกประเด็นทีต้องพูดถึงก็คือ เด็กวัยซนมักชอบ “เลียนแบบ” บางครั้งพ่อแม่เองก็คาดไม่ถึง อย่างเช่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกิจการขนมชื่อดังแห่งหนึ่ง จัดแข่งขันกระโดดงับขนมออกทีวี เพื่อโปรโมทบริษัทตนเอง ปรากฏว่ามีผู้คนออกมาร้องทุกข์ว่า ลูกๆ หลานๆ ของตนเลียนแบบหลังจากได้ดูรายการดังกล่าวในทีวี
นั่นคือพากันกระโดดงับขนมกันเป็นการใหญ่ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดขนมติดคอเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมาเตือนว่า พฤติกรรมการบริโภคดังกล่าว เป็นการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอาการสำลัก หรือติดคอ เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ จึงอยากฝากเตือนผู้ใหญ่ให้คอยห้ามปรามและสอนเด็กๆ ถึงอันตรายของการเล่นเลียนแบบดังกล่าวด้วยครับ

กระโดดให้ปลอดภัยและได้สุขภาพ

พ่อแม่ที่มีลูกในวัย 5-6 ขวบ ต้องเล่นกระโดด ปีนป่ายกับลูกๆ แล้วครับ อย่ามัวแต่ห้าม เพราะวัยนี้เขาจะสนใจการกระโดด การปีนป่าย และพัฒนาการของเขาก็อยู่ในวัยที่ทำได้แล้ว แต่พ่อแม่ต้องสาธิต สอน บอกวิธีการปีนป่าย กระโดดที่ถูกที่ ถูกทาง ถูกวิธี บอกข้อกำหนด ข้อห้าม อันตรายที่จะเกิดขึ้นถ้าทำผิดวิธี
กิจกรรม “กระโดด”ที่ขอแนะนำคือ การ “กระโดดเชือก”ครับ ซึ่งผลดีของการออกกำลังกายดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอก็คือ กล้ามเนื้อแข็งแรง การทรงตัวดีเยี่ยม และที่น่าสนใจยิ่งก็คือ การกระโดดเชือกนั้นจัดได้ว่าเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัย ไม่ทำอันตรายต่อกระดูก และข้อของลูก แต่เรื่องที่จะละเลยไม่ได้ก็คือ ทุกครั้งที่กระโดดเชือกจะต้องสวมรองเท้ากีฬาด้วยครับ เพราะรองเท้ากีฬาจะช่วยลดแรงกระแทก
คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่าลูกของเราวัยนี้มีพลังเหลือเฟือ ทั้งชอบกระโดดโลดเต้น วิ่งไปโน่นไปนี่ไม่หยุดหย่อน เด็กวัยนี้จึงควรสนับสนุนให้ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เพื่อให้พวกเขาแข็งแรงแจ่มใสทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต  สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรแนะนำก็คือ ให้เด็กๆ เอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัย โดยควรจำประโยคนี้ให้ขึ้นใจนะครับ “เด็กวัยซนต้องอยู่ในสายตา และอยู่ในระยะที่จะเข้าถึงตัวลูกอย่างทันท่วงทีได้ตลอดเวลาด้วย”
ปฐมพยาบาล : การบาดเจ็บจาก “การกระโดด”
1.หกล้มแผลถลอก ฟกช้ำ หากเป็นแผลถลอก ล้างแผลให้สะอาดโดยใช้น้ำประปาหรือน้ำสะอาด ชะล้างฝุ่นผงออกจากบาดแผลให้หมดปิดด้วยผ้าสะอาด หรือผ้าทำแผล โดยทายาต่อต้านแบคทีเรียเพื่อป้องกันการติดเชื้อรอบๆ แผล ไม่ทายาบนแผลนะครับ

หากเป็นแผลฟกช้ำ ให้ประคบด้วยผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำแข็งใน 24 ชั่วโมงแรกและหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบ่อยๆ ถ้ามีเลือดออกหลังล้างน้ำให้สะอาดแล้ว ให้ห้ามเลือดโดยใช้ผ้าสะอาดกดแผลไว้อย่างน้อย 5 นาที ก่อนทายาต่อต้านแบคทีเรียเพื่อป้องกันการติดเชื้อรอบๆ แผล ไม่ทายาบนแผลเช่นกัน
2.สงสัยว่ากระดูกหัก กระดูกเคลื่อน หลังการพลัดตก หกล้ม ชนกระแทกหากมีอาการปวดบวมแขน ข้อศอก หัวเข่า หรือเท้า ให้คิดถึงกระดูกหักเคลื่อน คลายเสื้อผ้าบริเวณนั้นออก เอาเครื่องประดับในบริเวณที่สงสัยว่าอาจมีการบาดเจ็บออกมาก่อน อย่าเคลื่อนไหวกระดูกที่สงสัย ให้ตรึงกระดูก รวมทั้งข้อบนและข้อล่างของกระดูกที่สงสัยไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว โดยใช้หนังสือพิมพ์หรือวารสารต่างๆ ผ้าห่ม หมอน หรือท่อนไม้ ดามกระดูกที่สงสัยนั้นไว้แล้วพันด้วยผ้า
หากมองเห็นกระดูกโผล่ออกมา อย่าพยายามดันกลับเข้าไป ให้เอาผ้าสะอาดคลุมไว้ก่อน แล้วดามกระดูกก่อนนำส่งโรงพยาบาล ถ้ากระดูกบิดเบี้ยวอย่าพยายามหมุน ดึง ดัน ให้กระดูกกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เราคุ้นชิน ห้ามทำโดยเด็ดขาด ให้ดามกระดูกไว้ในท่าที่พบเห็นก่อนนำส่งโรงพยาบาลต่อไปครับ

เด็กกับของเล่น และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

เด็กกับของเล่น และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

การเล่นกับเด็กเป็นของคู่กัน แต่ต้องยอมรับว่าหลายครั้งที่การเล่นก็เป็นตัวการที่ทำให้ลูกเจ็บตัว หรือร้องไห้โวยวายบู๊แย่งของกันเองจนทำให้วงแตก เรามาป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าตัวเล็กกันเถอะ


การเล่นเป็นเหตุ

ขาดทักษะ...เล่น เจ้าตัวเล็กบางคนออกอาการคึกคักเมื่อเห็นเพื่อนวัยเดียวกันเข้ามาเล่นด้วย แถมยังเดินเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนล้มเผละไปด้วยกันทั้งคู่ 
 นั่นเพราะลูกยังขาดทักษะ ยังแยกแยะไม่ออกว่า การเล่นกับ “คน” กับการเล่นตุ๊กตานั้นมันต่างกัน หรือบางครั้งก็หยิบปลั๊กไฟมาเล่นสนุกโดยไม่รู้ตัวว่าอันตรายอยู่ในมือ คุณพ่อคุณแม่ควรให้คำแนะนำเจ้าตัวเล็กด้วยนะคะ

ใช้กำลังแย่งของ เด็กวัยนี้ยัง “ขี้หวง” อีกต่างหาก อยากจะเล่นของคนอื่น แต่ถ้าใครขืนแตะของเล่นของหนูล่ะก็ไม่ไว้หน้าใครแน่ๆ ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่สอนให้เจ้าตัวเล็กรู้จักแบ่งปันและในช่วงแรกควรดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กๆ อาจแย่งหรือดึงของเล่นจากมือของอีกฝ่าย จนล้มคว่ำ หน้าหรือศีรษะกระแทกพื้นได้

ซ่อนแอบ... แม้ต่อมาเมื่อเขาอยู่ในวัย 5 ขวบขึ้นไป จะเริ่มรู้จักการแบ่งปัน การรอคอย และไม่ “บ้าพลัง”เหมือนที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ ในหลายๆ สถานการณ์ว่า กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะการเล่น...ซ่อนแอบในที่ไม่คุ้นเคย บ้างครั้งสนุกจนลืมว่าเรามาแอบที่ไหนและไม้สามารถออกจากตรงนั้นได้

อันตรายจากการเล่นป้องกันได้

จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น ไม่มีที่สูง ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีรถยนต์ ไม่มีของร้อน หรือ ไม่เสี่ยงต่อของหนักหล่นทับ ในพื้นที่ที่เด็กเล่น

เลือกของเล่นที่เหมาะสม ผู้ปกครองควรเลือกของเล่นที่เหมาะสม ไม่เสี่ยงต่อการอุดตันทางเดินหายใจ สารพิษ สิ่งของแหลมให้กับลูก

เพราะ “การเล่น” มีส่วนช่วยพัฒนาการทางสมอง เสริมสร้างความฉลาดทั้งทางปัญญาและอารมณ์ ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมสนับสนุน ให้เด็กๆ รู้จักการเล่นอย่างเหมาะสม เพื่อให้เรื่องเล่นๆ ต่อยอดไปถึงการรู้จักเข้าสังคมและการเรียนรู้ของเด็กๆ
 

สร้างสมาธิให้วัยเยาว์…ไม่ยาก

สร้างสมาธิให้วัยเยาว์…ไม่ยาก

  

การฝึกสมาธิจะช่วยพัฒนา Working Memory ของลูกได้ โดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยอนุบาล สมาธิในการเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าลูกมีสมาธิก็จะส่งผลดีต่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวนั่นเอง ทำไมลูกต้องมีสมาธิ 

สมาธิมีความจำเป็นกับเจ้าหนูวัยเยาว์มากๆ เพราะมีผลโดยตรงกับสติปัญญาและอารมณ์ของเขา สมาธิจะทำให้เขาสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารและเกิดการเรียนรู้ต่างๆ ได้มาก ซึ่งช่วยพัฒนาสมองและสติปัญญาได้ดี และเมื่อเขาทำสิ่งต่างๆ ได้ดีหรือทำได้สำเร็จ เขาก็จะเกิดความภูมิใจกับตัวเอง หากได้รับคำชมจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย อารมณ์ก็จะดียิ่งขึ้นค่ะ ในทางกลับกัน หากเด็กที่มี IQ เท่ากัน แล้วเด็กคนหนึ่งมีสมาธิ แต่อีกคนไม่มี ผลการเรียนก็อาจจะต่างกัน เพราะถ้าเขาไม่มีสมาธิ สติปัญญาที่ใช้ในการเรียนรู้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งส่งผลให้อารมณ์ไม่ดีไปด้วย เพราะเขาจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง มองตัวเองว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ อาจมีอาการต่อต้านก้าวร้าว และมองตัวเองเป็นคนด้อยคุณค่าในที่สุด

ขาดสมาธิขั้นไหน…ผิดปกติ ถ้าลูกของเราขาดสมาธิจนกระทบกับเรื่องเรียนและกิจวัตรประจำวันถือว่าผิดปกติค่ะ เช่น ถ้าไม่มีสมาธิจนทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง ใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการอาบน้ำหรือกินข้าว มีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นเวลาเล่นก็อาจจะเล่นแรง ไปแย่งของเพื่อน ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด

เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยสร้างสมาธิ 
1. ลดสิ่งกระตุ้น เช่น การจัดบ้านไม่ให้รกรุงรัง ไม่ซื้อของเล่นให้ลูกเล่นมากเกินไป รวมทั้งการงดดูทีวีหรือเล่นเกมต่างๆ ที่มีแสงสีเสียง เพราะ 2 อย่างนี้เป็นตัวเร้าที่เข้มข้นมาก เมื่อลูกไปเจอสิ่งเร้าที่อ่อนลงก็จะคุมสมาธิไม่ได้เช่น เจอผู้ใหญ่ที่พูดเสียงดังๆ ก็อาจทำให้เขาตื่นตัวและไม่มีสมาธิได้
2. เพิ่มสมาธิด้วยกิจกรรม การฝึกสมาธิเริ่มได้ตั้งแต่ 2-3 ขวบซึ่งกิจกรรมที่ใช้ต้องขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กเป็นหลัก เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา และกิจวัตรประจำวัน แต่ต้องไม่เป็นการบังคับ ซึ่ง คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่กับเขาตอนทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ด้วย เพราะหากเขาลุกหนีไปที่อื่นเราอาจบอกลูกว่า “นั่งทำต่ออีกนิดนะลูก” หรือลูกทำแล้วติดขัดเราก็ให้กำลังใจจนกว่าเขาจะทำได้สำเร็จค่ะ
3. แบบอย่างที่ดีจากพ่อแม่เราสามารถทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็นได้ เช่น การนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เงียบๆ แค่นี้ก็ทำให้เขาเห็นว่าการมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรได้แล้ว
4. ทำอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลาที่นานพอ เราต้องกำหนดเวลาในการทำกิจกรรมให้ต่อเนื่องค่ะเพื่อให้เขารับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ สร้างให้เขารู้จักทำงานให้สำเร็จ และเมื่อเขาทำสำเร็จเราก็อาจชมเชย กอด หรือหอมแก้ม ไม่จำเป็นต้องให้รางวัลที่เป็นวัตถุทุกครั้ง ซึ่งช่วยเรื่องพฤติกรรมให้ลูกทำอย่างต่อเนื่องมากขึ้นค่ะ  จริงๆ แล้วทุกกิจกรรมมีประโยชน์ทั้งนั้น เพราะแต่ละกิจกรรมสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนการในด้านต่างๆ และถ้าเป็นสิ่งที่ลูกสนใจก็ยิ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฝึกสมาธิ เพราะคนเราหากมีความสนใจสิ่งไหนก็จะทำให้มีสมาธิกับสิ่งนั้นมากขึ้น

Child Center การเรียนรู้โดยที่เด็กเป็นศูนย์กลาง

Child Center การเรียนรู้โดยที่เด็กเป็นศูนย์กลาง


       Child Center เป็นรูปแบบ การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง เป็นการพลิกโฉมการเรียนการสอนแบบเดิมที่เด็กมีหน้าที่ฟัง ท่องจำ ทำตามที่ครูบอก เปลี่ยนมาเรียนแบบChild Center การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง ที่ให้ความสำคัญที่ตัวเด็ก เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ยึดถือการพัฒนาเด็ก(DAP:Developmentally Appropriate Practice)เป็นหลัก และมีการศึกษาทางเลือกหลายรูปแบบนำแนวการเรียน แบบ Child Center การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง มาใช้กันมากทีเดียว ทั้งโปรเจกต์แอพโพรช มอนเตสซอรี่ วอลดอร์ฟ โฮมสคูล และอีกหลากหลายรูปแบบ 

Child Cente,การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง,พัฒนาเด็ก,โรงเรียนทางเลือก, โรงเรียนอมาตยกุล, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน

ดร.วรนาท รักสกุลไทย นักการศึกษาคนสำคัญเคยพูดถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนในเด็กปฐมวัย หรืออนุบาลไว้ว่า "เด็กจะต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข สุขจากธรรมชาติ สุขจากการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ และสุขจากการทำงาน การดำเนินชีวิต" ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ใฝ่ฝัน ไขว่คว้า อยากให้ลูกของเราอยู่ในบรรยากาศแบบที่ว่านี้
กิจกรรมแบบ Child centered
การจัดกิจกรรมให้เด็กได้พัฒนาโดยยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Child-centered)ในห้องเรียนนั้น จัดได้ทั้งแบบกลุ่มใหญ่ และกลุ่มเล็ก ซึ่งมีสมาชิก 2-3 คน หรืออาจมากถึง 7-8 คนแล้ว และยังสามารถจัดได้แบบกลุ่มเดี่ยวด้วย ซึ่งกิจกรรมเดี่ยวนี้เองสามารถตอบสนองการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของเด็กได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างกิจกรรมเดี่ยวที่จัดในห้องเรียน เช่น

1.กิจกรรมเสรี หรือ กิจกรรมศิลปะ
จัดให้เด็กทำงานศิลปะ เช่น ปั้น วาด พิมพ์ภาพ หยดสี พ่นสี และงานประดิษฐ์ เป็นต้น โดยครูจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ และให้เด็กได้เลือกทำตามความต้องการของตนอย่างเสรี จะมากแค่ไหน หรือทำอย่างไรก็ได้ ระยะเวลาที่จัดกิจกรรมเสรีจะอยู่ในราว 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมง

2.กิจกรรมเล่นตามมุม
นอกจากจะเล่นเป็นกลุ่มเล็กแล้ว เด็กยังสามารถเล่นคนเดียวตามความพึงพอใจของตน โดยคุณครูให้อิสระเด็กเลือก เข้าเล่นในมุมใดก็ได้ เล่นอย่างไรก็ได้ โดยคุณครูจะเข้ามาดูแลเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นกับเด็ก โดยทั่วไปกิจกรรมนี้มักจัดรวมกันกับกิจกรรมศิลปะ ในช่วงของการเล่นกิจกรรมเสรีคือเมื่อเด็กทำกิจกรรมศิลปะ 2-3 ชนิดแล้ว เด็กอาจจะเลือกไปเล่นกับสื่อในมุมต่างๆได้อย่างเสรี มุมการเล่นที่นิยมจัดไว้ในห้องเรียนให้เด็กได้เล่นอย่างเสรี ได้แก่

Child Cente,การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง,พัฒนาเด็ก,โรงเรียนทางเลือก, โรงเรียนอมาตยกุล, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน
2.1.มุมบ้าน มุมร้านค้า มุมหมอ ฯลฯ
สื่อที่จัดไว้ในมุมนี้ ได้แก่ เครื่องครัว เครื่องใช้ในบ้าน เช่น กระจก ตุ๊กตา เสื้อผ้า เครื่องแบบอาชีพต่างๆ เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เพื่อให้เด็กได้เล่นเลียนแบบ แสดงบทบาทสมมุติ

2.2.มุมหนังสือ
หนังสือนิทานภาพสวยๆ เป็นการจูงใจให้เด็กมาจับต้องเปิดดู เป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน สื่อในมุมนี้มีหมอน เสื่อ หนังสือที่อยู่ในความสนใจของเด็ก จะช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน ทั้งที่ยังอ่านหนังสือไม่ได้

2.3.มุมธรรมชาติ หรือมุมวิทยาศาสตร์
มุมนี้เปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกต ทดลอง หาความรู้ด้วยตนเอง สื่อและอุปกรณ์ที่จัดไว้ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เช่น แว่นขยาย เครื่องชั่ง พืชต่างๆ เปลือกหอย สำลี สื่อลอย-จม หินชนิดต่างๆ จัดไว้เป็นหมวดหมู่

2.4.มุมบล็อก
จัดไม้บล็อกมาตรฐาน หรือบล็อกที่ผลิตขึ้นทดแทนจากกล่องหรือสิ่งอื่นๆซึ่งมีผิวเรียบ ไม่มีเสี้ยน อาจมีเครื่องเล่นตัวต่อพลาสติกต่างๆ ตุ๊กตายางรูปสัตว์ คน พาหนะ จัดวางไว้ เพื่อให้เกิดการเล่นสร้างสรรค์

เมื่อเด็กเข้าไปเล่นในมุม ถ้าหากมีสื่อหรืออุปกรณ์ใหม่ ครูจะต้องแนะนำวิธีใช้สื่อชิ้นนั้นอย่างถูกวิธี และหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ ทั้งนี้ต้องไม่ผิดกฏระเบียบของห้องที่ได้ตกลงและปฏิบัติกันมา เช่น ไม่ขว้างปาหรือแย่งของจากมือเพื่อน หรือนำอุปกรณ์จากมุมนี้ไปเล่นในมุมอื่น เป็นต้น



3.กิจกรรมที่เด็กเลือกขึ้นมาเอง
เมื่อเด็กสำรวจกิจกรรมและพบว่า ตนต้องการที่จะทำหรือเล่นอย่างอื่นแทน คุณครูสามารถอนุญาตให้เด็กคนนั้นหยิบสิ่งที่ตนต้องการขึ้นมาทำอย่างเสรีได้ แต่ทั้งนี้ยังคงอยู่ในบริเวณที่คุณครูมองเห็นได้ เป็นไปตามกฎระเบียบของห้องเรียน และไม่เกิดอันตราย

ระยะเวลาที่จัดกิจกรรมเดี่ยวให้เด็กได้กระทำอย่างเสรีนี้ เด็กยิ่งเล็กยิ่งต้องการมาก เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอยู่ พัฒนาการด้านสังคมที่จะเล่นหรือทำงานร่วมกับผู้อื่นยังพัฒนาไปไม่มาก แต่พอโตขึ้นอายุ 5-6 ปี การอยู่ร่วมกัน เล่นร่วมกันกับผู้อื่นจะพัฒนาขึ้น รูปแบบของการเล่นและการทำกิจกรรมจะเปลี่ยนจากเดี่ยวเป็นการเล่นกลุ่มมากขึ้น แต่ยังคงต้องการเวลาและความเป็นอิสระเสรีเพื่อจะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง สร้างองค์ความรู้ขึ้นมาจากการเล่นของตน ซึ่งตรงจุดนี้ สำคัญที่การให้เวลา ถ้าคุณครูให้เวลาเด็กเพียงพอ จะช่วยให้เด็กได้เล่นตามความคิดของตนบรรลุสู่เป้าหมาย หรือมีผลิตผลเป็นรูปธรรมสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กวัยนี้ หากว่าให้เวลาน้อยเกินไป เช่น 15-20 นาที อาจจะไม่เพียงพอต่อการนำความคิดของตนสื่อออกมาในการเล่นได้


บทบาทของครูในกิจกรรมเสรีแบบ Child-centered
บทบาทของครูในการเป็นผู้จัดเตรียมสื่ออุปกรณ์ให้พร้อม และเร้าต่อความสนใจของเด็ก บางครั้งเป็นผู้ช่วยในกรณีที่เด็กร้องขอ แม้กระทั่งการแสดงความคิดเห็นในยามที่เด็กร้องขอ แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ครูเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ครูคิด อีกทั้งเสนอหนทางในการขยายกิจกรรมต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือ ครูต้องให้ความเป็นอิสระเสรีอย่างเต็มที่แก่เด็กภายใต้กฎระเบียบของห้องเรียน ครูต้องไม่ยึดเอาความคิดความต้องการของตนเป็นหลัก หรือเน้นผลิตผล (product)เป็นสำคัญ
คุณครูคอยเปิดโอกาสให้เด็กมีความเป็นอิสระ ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมที่เด็กสนใจแล้ว ยังเป็นผู้คอยกระตุ้น ดูแลให้เกิดความเรียบร้อย เป็นไปตามกฎระเบียบของห้อง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายด้วย และเมื่อเด็กต้องการความช่วยเหลือ ข้อคิดเห็น หรือผู้ร่วมเล่นด้วยกัน ครูก็ควรจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวนั้นได้

สิ่งที่เด็กจะได้รับจากการเรียน Child-centered
การเรียนและการจัดกิจกรรมแบบ Child-centered เพื่อให้เด็กได้พัฒนาร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา เด็กจะได้ร่วมกิจกรรมจากการจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งห้องเรียน กลุ่มเล็กและกิจกรรมเดี่ยว ซึ่งกิจกรรมทั้ง 3 แบบนี้จะต้องมีความสมดุล เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็ก เช่น ออกกำลังกาย ร้องเพลง เล่นเกม ทำงานศิลปะ เล่นน้ำ เล่นทราย ออกมาสำรวจต้นไม้ใบไม้นอกห้องเรียน ได้ทำกิจกรรมประกอบอาหาร ฟังนิทาน เล่นละคร ได้เล่นเกมการศึกษา ได้ฝึกสังเกต ทดลอง ค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

Child Cente,การเรียนรู้โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง,พัฒนาเด็ก,โรงเรียนทางเลือก, โรงเรียนอมาตยกุล, หาโรงเรียน, เลือกโรงเรียน, โรงเรียนอนุบาล, โรงเรียนประถม, แนะนำโรงเรียน, ข้อมูลโรงเรียน, ประเภทโรงเรียน, หลักสูตรการเรียน, หลักสูตรการศึกษา, school zone, โรงเรียนใกล้บ้าน, โรงเรียนดี, โรงเรียนเด็กเก่ง, สมัครเข้าเรียน, นักเรียน, วัยเรียน, เด็กอนุบาล, การศึกษา, การเรียน
กิจกรรมที่จัดให้นั้น เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านไปพร้อมกัน ไม่ได้เน้นแต่การเรียนเขียนอ่าน และบวกลบเลข แต่เด็กเรียนรู้มากมายผ่านกิจกรรมที่หลากหลายอย่างสนุกสนาน ท้าทายให้เด็กได้คิด ลงมือทำ ได้ฝึกแก้ปัญหาและทำงานร่วมกับเพื่อนๆ เด็กจึงได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมากกว่าการฟังครูพูด ทำกิจกรรมผ่านสื่อการสอนต่างๆ

*** บทความนี้เรียบเรียงข้อมูลจากเว็บไซต์การศึกษาและเว็บไซต์โรงเรียน ชื่อโรงเรียนที่ปรากฎจึงเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับแนวการศึกษา เท่านั้น ไม่ใช่การจัดอันดับหรือชี้แนะว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด การนำเนื้อหาไปใช้ประกอบการพิจารณาเลือกโรงเรียนจึงอยู่ที่ดุลยพินิจและ วิจารณญาณของแต่ละบุคคล

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

กิจกรรมกลางแจ้งสำหรับเด็กปฐมวัย

กิจกรรมกลางแจ้งสำหรับเด็กปฐมวัย




      กิจกรรมกลางแจ้งเป็นกิจกรรมที่การศึกษาปฐมวัยจัดขึ้นนอกห้องเรียน เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้เคลื่อนไหว ได้แสดงออกอย่างอิสระ ได้ออกกำลัง เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา และลำตัว ให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคน

     กิจกรรมกล้างแจ้งมีต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร
สถานศึกษาปฐมวัยจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อมุ่งพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ต้านสติ ปัญญา และด้านสังคมให้แก่เด็กปฐมวัย ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 และกำหนดกิจกรรมกลางแจ้งเป็นกิจกรรมหลักที่สำคัญไว้ในตารางกิจกรรมประจำวันที่เด็กจะต้องได้รับการส่งเสริมให้เด็กได้ออกกำลังกาย ผ่านการเล่นหลากหลายแบบโดยมีจุดมุ่งหมายให้เด็กเจริญเติบโตเหมาะสมตามวัย มีสุขนิสัยที่ดี ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้คล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข


  • ครูจัดกิจกรรมกลางแจ้งให้ลูกที่โรงเรียนอย่างไร
  • - การเล่นเครื่องเล่นสนาม การเล่นเครื่องเล่นสนามจะส่งเสริมให้เด็กได้ออกกำลังกาย พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เพราะเด็กจะได้ปีนป่าย หมุน โยก ฯลฯ ทางสถานศึกษาควรจัดเครื่องเล่นสนามประเภทต่างๆ ดังนี้คือ เครื่องเล่นปีนป่ายหรือตาข่ายสำหรับปีนเล่น เครื่องเล่นสำหรับหมุน เช่น ม้าหมุน พวงมาลัยรถสำหรับหมุนเล่น ราวโหนขนาดเล็กสำหรับเด็ก ท่อนไม้สำหรับทรงตัวหรือไม้กระดานแผ่นเดียว เครื่องเล่นประเภทล้อเลื่อน เช่น รถสามล้อ รถลากจูง เป็นต้น
  • - การเล่นทราย การจัดทรายให้เด็กเล่นเป็นการตอบสนองธรรมชาติของเด็กปฐมวัยที่ชอบเล่นจับสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว และสร้างสรรค์ตามจินตนาการ ทรายจึงเป็นสิ่งที่เด็กชอบเล่น ทั้งทรายที่เปียกน้ำ ทรายแห้ง เด็กจะเล่นก่อเป็นรูปร่างต่างๆ และสมมติว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งที่เป็นจริงและเป็นสิ่งที่คิดเอาเอง บางครั้งเด็กต้องการสิ่งของนำมาประกอบเรื่องราว เช่น กิ่งไม้ ใบไม้ เปลือกหอย ช้อนตักทราย พิมพ์ขนม เป็นต้น การจัดทรายไว้กลางแจ้ง โรงเรียนมักจัดทำเป็นบ่อเพื่อจัดเก็บทรายมิให้กระจัดกระจาย มีหลังคาหรือตาข่ายรองรับใบไม้ที่ร่วงหล่นมา มีรั้วรอบขอบชิดป้องกันสัตว์เข้าไปถ่ายมูลและทำสกปรก
  •  การเล่นน้ำ การจัดให้เด็กเล่นน้ำเป็นการตอบสนองธรรมชาติของเด็กปฐมวัยเช่นเดียวกับการจัดทรายให้เด็กเล่น เด็กพอใจที่ได้เล่นน้ำเพราะเด็กใช้น้ำสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่เด็กคิด และเด็กได้ผ่อนคลายความเครียดจากการเล่นน้ำ นอกจากนี้การเล่นน้ำเด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติของน้ำด้วย เช่น น้ำเป็นของเหลว น้ำผสมกับสิ่งต่างๆ ได้
  • - การเล่นสมมติในบ้านจำลองหรือบ้านตุ๊กตา จัดให้คล้ายบ้านจริง ใช้วัสดุที่นำมาจากเศษวัสดุประเภท ผ้าใบ กระสอบป่าน ของจริงที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เครื่อง ครัว ตุ๊กตาสมมติเป็นบุคคลในครอบครัว เสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้ว สำหรับตกแต่งบริเวณคล้ายบ้านจริงๆ บางครั้งอาจจัดเป็นร้านค้าขายของ หรือสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เด็กเล่นสมมติตามจินตนาการของเด็กเอง
  • - การเล่นในมุมช่างไม้ เด็กต้องการการออกกำลังในการเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้นี้เพื่อจะช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรง ช่วยฝึกการใช้มือและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา นอกจากนี้ฝึกให้รักงานและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย
  • - การเล่นกับอุปกรณ์กีฬา เป็นการนำอุปกรณ์กีฬามาให้เด็กเล่นอย่างอิสระ หรือใช้ประกอบการเล่นเกมการเล่นที่ให้อิสระกับเด็ก หากมีการแข่งขัน จะไม่เน้นการแข่งขันแบบมีแพ้มีชนะ อุปกรณ์ที่ครูนิยมนำมาให้เด็กเล่นคือ ลูกบอล ห่วงยาง ถุงทราย ฯลฯ เพราะเหมาะกับเด็กปฐมวัย
  • - การเล่นเกมการละเล่น เกมการละเล่นที่ครูจัดให้เด็กปฐมวัยเล่นมักเป็นเกมง่ายๆ ทั้งการละเล่นของไทยและการละเล่นสากลที่รู้จักกันทั่วไป และเกมที่ครูประยุกต์ให้เข้ากับหน่วยการสอนที่กำหนดให้เด็กเรียนซึ่งนำมาจากหลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรสถานศึกษา โดยครูจัดให้เล่นในพื้นที่โล่งกว้าง ส่งเสริมให้เด็กเล่นทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ เป็นเกมสนุกสนานมากกว่าการแข่งขันแพ้ชนะ เพื่อมิให้เด็กเครียดและรู้สึกไม่ดีต่อตนเองที่แพ้หรือไม่ประสบความสำเร็จ

  • เกร็ดความรู้


       เกร็ดความรู้
ครูควรฝึกสุขนิสัยในการเล่นกิจกรรมกลางแจ้งแก่เด็ก เช่น เล่นเป็นเวลา เมื่อถึงเวลาเลิกก็ฝึกให้เด็กปฏิบัติตามข้อตกลง เล่นในที่สะอาด และปลอดภัยที่ผู้ใหญ่แนะนำ ไม่เล่นของอันตรายและไม่เล่นโลดโผน ไม่เล่นของสกปรก เช่น มูลสัตว์ ขยะมูลฝอย หลังเลิกเล่นแล้วควรทำความสะอาดมือ เท้า ให้สวมเสื้อผ้าที่เหมะสมกับกิจกรรมการเล่นนั้นๆ ควรสวมรองเท้าเมื่อลงเล่นที่พื้นดิน เมื่อเล่นจะต้องระมัดระวังอุบัติเหตุของตนเองและผู้อื่น เช่น เล่นแกว่งชิงช้า ควรโล้อย่างระมัดระวัง ดูเพื่อนก่อนโล้ว่าอยู่ข้างหลังหรือไม่ เล่นตามข้อตกลง และช่วยเก็บของเล่นเข้าที่อย่างมีระเบียบภายหลังการเล่น






การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัย



การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัย




       การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตาแล้ว กิจกรรมศิลปะยังสอดคล้องกับแบบแผนการเรียนรู้ของสมอง หรือที่เรียกว่า Brain Base Learning (BBL) อีกด้วย เด็กจะได้ฝึกปฏิบัติจริง มีประสบการณ์ตรง เรียนรู้ผ่านการสังเกตและฝึกกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาจุดเชื่อมต่อของใยประสาท ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย มีอิสระทางความคิด

       กิจกรรมศิลปะ เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อเล็กได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมโยงพัฒนาการของอวัยวะหลายส่วน ทำให้เกิดจุดเชื่อมต่อของใยประสาทที่สามารถพัฒนาไปสู่แบบแผนการเรียนรู้ของสมอง ในการจัดกิจกรรมศิลปะหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ ครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์ตรงและฝึกปฏิบัติอย่างหลากหลาย
หากย้อนอดีต สะท้อนประสบการณ์เดิมด้านการเรียนการสอนศิลปะ คุณครูจะให้นักเรียนวาดภาพทิวทัศน์ในกระดาษวาดเขียน แนวคิดเดิม ๆ คือ ภาพทิวทัศน์จะมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา มีก้อนเมฆ มีต้นมะพร้าวหรือต้นไม้อื่น มีน้ำทะเล มีเรือใบ มีนกบิน ฯลฯ
แต่ยุคปัจจุบันการสอนศิลปะเด็กปฐมวัย จะต้องจัดกิจกรรมให้เด็กอย่างหลากหลายรูปแบบนะครับ เช่น
- กิจกรรมวาดภาพระบายสี
- กิจกรรมเล่นกับสีน้ำ เช่น เป่าสี หยดสี พับสี ระบายสีด้วยนิ้วมือ ฝ่ามือ
- กิจกรรมการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและวัสดุต่าง ๆ
- กิจกรรมการปั้น ขยำดินเหนียว ดินน้ำมัน แป้งโด กระดาษ ฯลฯ
- กิจกรรมการพับ ฉีก ตัด ปะ
- กิจกรรมการร้อย สาน และการออกแบบ
- กิจกรรมการฝนสีด้วยกระดาษทราย
ฯ ล ฯ
ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเชื่อมต่อของใยประสาท โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กำมะหยี่ กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัสต่างกัน ฯลฯ
ระหว่างทำกิจกรรมศิลปะ ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มีเสียงดนตรีเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนที่คุมกล้ามเนื้อพร้อม ๆ กัน การเชื่อมโยงสมองซีกซ้ายเข้ากับซีกขวาที่เป็นด้านจินตนาการ ดังนั้น งานศิลปะจึงไม่ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทำให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน แต่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอดการรับรู้ภายในด้านมิติ รูปทรง ขนาด ระยะ ฯลฯ ตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เด็ก

การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบอุปกรณ์สำหรับเด็กปฐมวัย

การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบอุปกรณ์สำหรับเด็กปฐมวัย



 



       เด็กปฐมวัยช่วงแรกเกิดจะมีการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีการฝึกหัดเช่นการดิ้นไปมา การไขว่คว้าซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายและการสื่อสาร การใช้ประสาทรับรู้-เคลื่อนไหวเป็นกระบวนการที่เด็กปฐมวัยพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้ประสาทรับรู้เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหว เช่น การขยับตัว การยกมือ การโบกมือ การใช้ประสาทรับรู้-เคลื่อนไหวได้แก่ การรับรู้ทางมิติสัมพันธ์ การรับรู้จังหวะ เวลา และการตระหนักรู้ทางประสาทรับรู้ เด็กปฐมวัยจะใช้มือสัมผัสหรือประสาทส่วนอื่นๆเพื่อสำรวจ ค้นหาขนาด รูปร่าง และปริมาณของที่จับต้อง ดังนั้นความสามารถในการใช้ประสาทรับรู้-เคลื่อนไหวจึงมีความจำเป็นต้องที่ครูหรือผู้มีหน้าที่ดูแลเด็กปฐมวัยต้องให้ความสนใจ ส่งเสริมและจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

การจัดการในชั้นเรียนระดับปฐมวัย

    การจัดการในชั้นเรียนระดับปฐมวัย


การจัดการชั้นเรียน (Classroom management) หมายถึง การจัดระบบการใช้งานในชั้นเรียนทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการกำ หนดกฎ กติกาของห้อง การปฐมนิเทศเพื่อทำความเข้าใจแก่เด็ก การกำหนดขนาดของครุภัณฑ์ สื่อเครื่องเล่น และสิ่งอำนวยความสะดวกตามขนาด ปริมาณและคุณลักษณะที่สอดคล้องกับการใช้งาน และที่สำคัญที่สุดคือ การบริหารพื้นที่ของครู เพื่อ ให้การใช้งานของเด็กกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
ครูปฐมวัยที่อ่อนหวาน กับบรรยากาศของชั้นเรียนปฐมวัยที่อบอุ่น ปลอดภัยเหมือนบ้าน ถือเป็นความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อสถานศึกษาของเด็ก และจะช่วยให้เด็กเริ่มต้นชีวิตการศึกษาด้วยความมั่นใจ ผ่อนคลาย ลดความกังวล เกรงกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตในวัยต้น จากบ้านสู่โรงเรียนอย่างราบรื่นและเป็นสุข ครูปฐมวัยจึงต้องเข้าใจในความสำ คัญของบุคลิกภาพที่อ่อนโยน คำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน และการจัดการสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน เพื่อรองรับเด็กในฐานะโลกใบใหม่ที่พร้อมต้อนรับและเชื้อเชิญอยู่ทุกเวลา
ธรรมชาติของเด็ก อยู่ในวัยที่ไม่อยู่นิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคุ้นชินกับคนและสภาพแวดล้อม เด็กอาจเล่นคลานและทำเสียงเห่าหอนไปรอบๆห้องเรียน หรือมุดลอดตามใต้โต๊ะอย่างสนุกสนาน อาจชักชวนกันออกไปนอกห้องทีละหลายๆคน โดยมีการขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตก็ได้ เพื่อวิ่งเล่น หรือไปห้องน้ำ อาจมีบางส่วนที่แสดงพฤติกรรมแปลกๆ ขณะมีคนแปลกหน้าหรือผู้บริหารสถานศึกษาเดินผ่านมาเจอ สภาพเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากมีการจัดการชั้นเรียนที่ดี ถูกหลักการ

ปัญหาการจัดการชั้นเรียนปฐมวัยมีลักษณะอย่างไร?


ชั้นเรียนที่ขาดการบริหารจัดการที่ดี มีลักษณะดังต่อไปนี้
  • - ครูไม่อธิบายให้เด็กๆเข้าใจอย่างชัดเจน เกี่ยวกับระบบการใช้พื้นที่และอุปกรณ์ในชั้นเรียน
  • - การสอนของครูมีความซับซ้อนเกินไป ทำให้เด็กเบื่อและหมดความสนใจ
  • - การจัดการในชั้นเรียนไม่ได้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสมกับการใช้งานของเด็ก
  • - ไม่มีการปฐมนิเทศก่อนการมอบหมายให้เด็กทำงาน ทำให้เด็กขาดการเตรียมตัวที่ดี
  • - การจัดกิจกรรม หรือการมอบหมายงานให้เด็กไม่สอดคล้องเหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก
  • - มีการเรียนรู้ โดยเน้นการฟังน้อยเกินไป ทำให้เด็กไม่ได้ฝึกการจดจำ และการทำความเข้าใจ
การจัดการในชั้นเรียนปฐมวัยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่จะช่วยให้การดำเนินกิจกรรมในแต่ละวันเป็นไปได้อย่างราบรื่น ห้องเรียนของเด็กปฐมวัยควรเป็นห้องเรียนที่มีบรรยากาศเป็นมิตรกับเด็ก ปราศจากการจัดวางสิ่งกีดขวางการมองเห็นในระดับสายตาของเด็ก ห้องเรียนของเด็กชั้นปฐมวัยที่ดี ควรเป็นห้องที่สว่างและสดใส เป็นห้องที่พร้อมจะให้เด็กๆได้ใช้พื้นที่ในการเคลื่อนไหว หรือเล่นได้ตามมุมต่างๆ การจัดการในชั้นเรียนที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนที่เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ครุภัณฑ์จำเป็นพื้นฐานในการจัดการชั้นเรียนมีอะไร?

ครุภัณฑ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดชั้นเรียน มีดังต่อไปนี้
  • - ชั้นวางสื่อเครื่องเล่น (สูงไม่เกิน 36 นิ้ว) จำนวน 4-8 ตัว
  • - พรมขนาดใหญ่ปูรองบริเวณที่ต้องการป้องกันการเกิดเสียงดัง เช่น ศูนย์บล็อก 1 ผืน
  • - สื่อเครื่องเล่นที่เหมาะสมกับอายุของเด็ก เช่น ตัวต่อเลโก้ บล็อกไม้ เป็นต้น
  • - ของเล่นตามศูนย์ เช่น ศูนย์บ้าน มุมห้องครัว มุมห้องนอน มุมห้องนั่งเล่น (ไม่รวมกับโต๊ะและ-  เก้าอี้ในชั้นเรียน) รถยนต์ของเล่น และรถบรรทุกของเล่น ชุดสัตว์พลาสติก ตุ๊กตา และหุ่นมือ  เป็นต้น
  • - ตู้เก็บของที่ใช้ 1-2 ตัว
  • - โต๊ะหน้าเรียบกว้าง 60 x 1.20 ม. สูง 60 – 65 ซม. อย่างน้อย 4 ตัว
  • - เก้าอี้อนุบาลคละขนาด ตามขนาดตัวเด็ก เท่าจำนวนเด็ก

ครูจัดห้องศูนย์การเรียนอย่างไร?

ศูนย์การเรียนถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการจัดการในชั้นเรียน ศูนย์การเรียนเป็นเสมือนห้องเล็กๆ ภายในชั้นเรียนมีพื้นที่เฉพาะสำหรับจัดสื่อเครื่องเล่น แยกออกตามหมวดหมู่ เป็นแต่ละศูนย์ย่อย ในแต่ละศูนย์ย่อยยังแบ่งเป็นมุมต่างๆ ประกอบศูนย์อีกด้วย สำหรับให้เด็กได้ทำกิจกรรม ช่วยให้เด็กมีสมาธิกับการทำกิจกรรม และเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการจัดการ และการทำความสะอาด หรือจัดเก็บหลังเล่นเสร็จแล้ว เมื่อเด็กอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ เด็กจะเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ สัมผัส ทดลอง สำรวจ จินตนาการ และได้มีส่วนร่วมในการเล่นกับกลุ่มเพื่อนศูนย์การเรียนในชั้นเรียนปฐมวัย และการจัดการชั้นเรียนเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการคู่กันไปดังนี้
  • - ศูนย์บล็อก มีไม้บล็อกหลายๆขนาด มีรางรถไฟ และรถไฟ รถยนต์ และรถบรรทุกของเล่น เล่นประกอบกัน หากมีขนาดห้องกว้างเพียงพอ หากมีโต๊ะงานไม้ภายในศูนย์บล็อกด้วย ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
  • - ศูนย์วิทยาศาสตร์ สื่ออุปกรณ์ภายในศูนย์วิทยาศาสตร์ เน้นอุปกรณ์การสำรวจที่ควรมีการเปลี่ยนแปลงตามบท เรียนในแต่ละหน่วย เช่น หากเรียนเรื่องฤดูใบไม้ร่วง ก็ควรมีตะกร้าบรรจุใบไม้ต่างชนิด ผลของต้นสน และผลของต้นโอ๊ก ไว้ในตะกร้าตามหมวดหมู่ เป็นต้น ศูนย์วิทยาศาสตร์ต้องมีอุปกรณ์ทดลองถึงวัสดุของจริงเสมอ เด็กต้องได้ทดลองกับทรายและน้ำ ผลิตภัณฑ์จากพืช สังเกตสัตว์ เช่น ปลา ดักแด้ ทดลองเรื่องการไหลของน้ำ และแม่ เหล็ก เป็นต้น
  • - ศูนย์ภาษา มีความหมายมากต่อการสอน ฟัง พูด อ่าน และขีดเขียน ภายในศูนย์นี้ควรจัดวางหนังสือในมุมอ่าน ประกอบด้วยหนังสือหลากหลายชนิด เพื่อให้เด็กๆได้สนุกเพลิดเพลินกับการอ่าน ควรซื้อหนังสือที่มีซีดีแถมมาด้วย และควรมีหูฟังให้เด็กได้ใช้ฟังด้วย ควรจัดอยู่ในบริเวณสงบเงียบ สร้างบรรยากาศสบายๆ ให้เด็กมีสมาธิในการอ่านหนังสือ ครูอาจจะวางหมอนใบโตๆ หรือตุ๊กตาสัตว์อ่อนนุ่ม ในมุมอ่านด้วยก็ได้
  • - ศูนย์ศิลปะ ควรมีกระดาษไว้ให้เด็กได้วาดรูปเล่น นอกจากนั้นก็ควรมีสีเทียน ปากกามาร์คเกอร์ กระดาษสี และกาว ให้เด็กได้ตัดปะ ครูควรสอดแทรกกิจกรรมอื่นๆ นอกจากการวาดรูประบายสีให้เด็กด้วย
  • - การจัดบริเวณรวมกลุ่มใหญ่ในห้องเรียน เป็นสถานที่ที่นักเรียนทั้งหมดมาทำกิจกรรมร่วมกัน ควรตกแต่งสถานที่ด้วยปฏิทิน แผ่นภาพวันทั้งเจ็ด บันไดเลข และภาพหน่วยการเรียน พื้นที่ควรเป็นที่แบบโล่งกว้าง ปราศจากสิ่งกีดขวาง ซึ่งสามารถให้เด็กนั่งบนพื้นหรือพรมได้อย่างเพียงพอ โดยที่ไม่แออัดเกินไป เพื่อเด็กจะได้นั่งฟังเรื่องที่ครูเล่า หรือได้ใช้พื้นที่ในการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเพลงได้อย่างสะดวก
  • - การจัดการพื้นที่นั่ง เด็กปฐมวัยควรได้นั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ ในบริเวณที่พวกเขาสามารถมองเห็นคุณครูหรือกระ ดานโดยสะดวก ชัดเจน เด็กควรได้นั่งทำงานกลุ่มบนโต๊ะ จะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมในกลุ่มย่อยได้สะดวกมากขึ้น
  • การตกแต่งชั้นเรียน ห้องเรียนของเด็กปฐมวัย ควรตกแต่งด้วยภาพโมบาย สื่อตามหน่วยการเรียน และภาพที่มีความหมายผลัดเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ต้องตกแต่งด้วยสีสันสดใส ควรทำให้ห้องเรียนมีบรรยากาศสว่าง มีชีวิตชีวา และเป็นมิตร เด็กมักชอบที่จะเห็นชื่อตนเอง ดังนั้นจึงควรติดป้ายชื่อเด็กพร้อมสัญลักษณ์ ไว้ในระดับที่เด็กจะเห็นได้ถนัดด้วยเสมอ


วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย


การสอนการคิดในระดับปฐมวัยมีความสำคัญมากในปัจจุบันดังที่ คอสเทลโล(Costello.2000: 4-5)ได้แสดงความคิดเห็นถึงการสนับสนุนการสอนการคิดในระดับปฐมวัยว่าการจัดการเรียนการสอนการคิดสำหรับเด็กปฐมวัยในปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะการคิดเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1999 กระทรวงการศึกษา ของประเทศอังกฤษ ได้จัดการประชุมเรื่อง โรงเรียนแห่งการคิดไปสู่ห้องเรียนแห่งการคิด ในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบไปด้วยผู้บริหารทางการศึกษาและเจ้าหน้าที่ทางการศึกษา ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการประชุมไว้ 5 ประการดังนี้คือประการแรกเพื่อวิเคราะห์ความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับทักษะการคิดและบทบาทของเด็กๆในกระบวนการเรียนรู้ ประการที่สองเพื่อระบุวิธีการในปัจจุบันที่มีต่อการพัฒนาการคิดของเด็กและการประเมินอย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สามเพื่อพิจารณาว่าทำอย่างไรครูจะสามารถบูรณาการทักษะการคิดเข้าไปในการเรียนการสอนของครู ประการที่สี่เพื่อระบุบทบาทในการใช้ นวัตกรรมทางการสื่อสารและข้อมูลในการสนับสนุนการเข้าถึงทักษะการคิดของเด็ก ประการที่ห้าประเมินการวิจัยในปัจจุบันและอนาคตจากคำถามที่ว่าทำอย่างไรจะสามารถนำการคิดเข้าสู่การปฏิบัติในชั้นเรียน ดังนั้นจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาให้ความสำคัญต่อการสอนคิดตั้งแต่ระดับปฐมวัยโดยบูรณาการทักษะการคิดเข้าไปในการเรียนการสอนของครูและระบุบทบาทในการใช้นวัตกรรมทางการสื่อสารและข้อมูลในการสนับสนุนการเข้าถึงทักษะการคิดของเด็กในชั้นเรียน

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เทคนิคการใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย

เทคนิคการใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย



เทคนิคการใช้สื่อการสอนเป็นกลวิธีในการใช้สื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สื่อการสอนเป็นตัวกลางนำความรู้จากครูไปสู่เด็กทำให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ช่วยให้เด็กเข้าใจง่าย รวดเร็ว เพลิดเพลิน สื่อสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นสื่อของจริงเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสคือ การมอง การฟัง การสัมผัส การดมกลิ่นและการชิมรส สื่อเป็นสิ่งเร้าที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยแสดงพฤติกรรมต่างๆเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและการเรียนรู้
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษาจากการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น จากการฟังคนพูดและขณะทำกิจกรรมในสถานการณ์ต่างๆ เด็กจะพยายามเข้าใจในสิ่งที่เขาได้ยินและแสดงออกด้วยความตั้งใจในสิ่งที่เขาทำได้ อายุ 3 – 4 ปี สามารถเรียนรู้ความซับซ้อนของประโยคได้ เรียนรู้กฎของภาษาจากภาษาพูดที่เขาได้ยิน สามารถสร้างประโยคขึ้นใหม่ในการสื่อสารมากกว่าการเรียนแบบ มีคำศัพท์ที่ใช้ในการพูดมากกว่า 1000 คำ เรียนรู้คำและความหมายโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและสิ่งของหรือพฤติกรรม เช่น เด็กเรียนรู้คำว่า ตุ๊กตา เมื่อแม่ยื่นตุ๊กตาให้แล้วบอกว่า ตุ๊กตา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากการเชื่อมโยงกับสิ่งของ การเรียนรู้จะง่ายขึ้นถ้าเด็กมีประสบการณ์เดิมมาก่อน ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญของของการแสดงความคิด
การฝึกทักษาทางภาษาประกอบด้วยการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ของเด็กปฐมวัยมุ่งเน้นการสื่อสารอย่างมีความหมายโดยใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
เทคนิคการใช้สื่อเพื่อเพิ่มพูนความสามารถด้านการฟังของเด็ก
ถ้าต้องการให้เด็กเป็นผู้ฟัง ครูหรือผู้ปกครองควรฟังเด็กพูด เมื่อเด็กเล่าประสบการณ์หรือแสดงความคิดเห็นจบ ครูควรกล่าวชม เช่น ความคิดของหนูดีมาก แหมเล่าเรื่องได้ดีจริง การเสริมแรงเช่นนี้จะทำให้เด็กมีกำลังใจ เกิดความภาคภูมิใจและอยากที่จะเสนอความคิดของตนอีกในชั้นเรียนปฐมวัยมีหลายกิจกรรมที่ฝึกเด็กให้รู้จักฟังเช่น กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การเล่านิทาน นอกจากนี้ยังเป็นการฟังที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เทคนิคการใช้สื่อเพื่อเพิ่มพูนความสามารถด้านการฟังของเด็กมีดังนี้
  • โคลงกลอน ร้อยแก้ว
  • เพลง เช่น เพลงพื้นบ้าน เพลงตามสมัยนิยม
  • เสียงจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงจากในครัว จากสนามเด็กเล่น นาฬิกา โทรศัพท์และจากยานพาหนะ เป็นต้น
  • เสียงการใช้วัตถุโยนลงพื้นแข็งๆ หรือพื้นที่นุ่มๆ วัตถุที่ใช้โยนอาจเป็นหมอน บล็อก ก้อนหิน ผ้าพันคอ ตะปู โยนถุงที่บรรจุของ ต่อไปให้เด็กหลับตาทายว่าครูโยนอะไร
  • ฟังจังหวะ เช่น เสียงเครื่องดนตรีเคาะจังหวะเร็วช้า เสียงการเต้นของหัวใจเพื่อน เสียงนาฬิกา
  • ฟังเสียงจากขวดบรรจุน้ำ
  • ฟังคำสั่ง ถ้าอายุประมาณ 3 ขวบควรเป็นคำสั่งสั้นๆ อายุมากขึ้นควรฝึกฟังเป็นประโยค หรือ ฟังคำสั่งซ้อนกัน2-3คำสั่ง
  • ฟังคำถาม
  • ฟังโดยมีกติกาจากการเล่นเกม
  • ทายเสียงจากการฟังเครื่องบันทึกเสียง
  • ฟังนิทาน เช่นนิทานที่มีคำซ้ำ ฟังจนจบเรื่องแล้วจับใจความ เป็นต้น การอ่านหนังสือหรือนิทานให้เด็กฟัง สามารถใช้เป็นวิธีการนำเข้าสู่บทเรียนได้ถ้าหนังสือนั้นให้ข้อมูลที่เป็นจริงและมีภาพประกอบที่น่าสนใจจะกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจขึ้นได้แต่ครูต้องมั่นใจว่าเด็กเข้าใจคำศัพท์และความหมายในเรื่องนั้นๆ
  • ฯลฯ

ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย

ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย


กิจกรรมวิทยาศาสตร์ช่วยให้เด็กรู้โลกรอบตัวด้วยความเข้าใจคือการที่เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตัวเอง ได้เป็นผู้จัดระบบอุปกรณ์ ทำให้เด็กได้สำรวจ ตั้งคำถาม ใช้เหตุผลและแสวงหาคำตอบจากกิจกรรมทางกายและทางสมอง วิธีการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญต่อคำถามว่า ทำอย่างไร อะไรบ้าง ที่สามารถเรียนรู้ได้ การให้ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าของเด็กในการสร้างองค์ความรู้ ทำให้เกิดเจตคติที่ดีต่อแสวงหาความรู้ในห้องเรียน
ในอดีตที่ผ่านมากิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเน้นอธิบายวิธีการหรือทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในด้านต่างๆเช่น การสังเกต การจำแนกประเภท การวัด การสื่อความหมาย การทดลอง การพยากรณ์ การลงความเห็น การออกแบบการค้นคว้า การตีความผลของการทดลอง (การสรุป) และการอธิบายโครงสร้างจากข้อมูล ความซับซ้อนของกระบวนการ การสังเกตและการทดลอง ทำให้มองเห็นพฤติกรรมของเด็ก เนื่องจากการคิดของเด็กพัฒนาเป็นขั้นตอน ขั้นสุดท้ายของการคิดคือความเข้าใจเป็นนามธรรม เด็กสามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการเพิ่มความซับซ้อนของการทดลองซึ่งบางครั้งทำให้เพิ่มความเข้าใจจากกิจกรรมการแสวงหาความรู้
การปฏิรูปการสอนวิทยาศาสตร์ศึกษาได้บูรณาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปกับการแสวงหาความรู้ จุดเด่นของการแสวงหาความรู้คือ ความสามารถในการแสวงหาความรู้และการพัฒนาเกี่ยวกับความเข้าใจในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนทุกระดับและทุกจุดมุ่งหมายทางวิทยาศาสตร์จะใช้ทักษะการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาความสามารถทางการคิดและการกระทำซึ่งประกอบด้วย การตั้งคำถาม การวางแผนและการสืบค้น การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีเหตุผลในการสืบค้นหลักฐาน การนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสร้างความเข้าในและการเผยแพร่(Committee on Development of an Addendum to the National Science Education Standard on Scientific Inquiry(CDANSESSI).2000: 134)
ทักษะการแสวงหาความรู้สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถในการค้นหาความรู้ด้วยการลงมือกระทำอย่างเป็นระบบจนเกิดความเข้าใจประกอบด้วย ความสามารถ 5 ด้าน ดังนี้ การตั้งคำถาม การสืบค้น การใช้เครื่องมือเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูลสร้างความเข้าใจและการเผยแพร่ความรู้ที่ค้นพบ(อัญชลี ไสยวรรณ. 2548:26 )

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กิจกรรมเสรี (Unstructured Activities)

กิจกรรมเสรี (Unstructured Activities)


กิจกรรมเสรีเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างอิสระ โดยมีจุดมุ่งหมายส่งเสริมให้เด็กคิดตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการวางแผนการเล่นของตนเอง ในขณะเดียวกัน เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมด้วยการเล่นกับเพื่อนและผู้อื่น

กิจกรรมเสรีมีความสำคัญและความเป็นมาอย่างไร?

กิจกรรมเสรีหรือกิจกรรมเล่นตามมุมที่โรงเรียนจัดให้เด็กเล่นอย่างอิสระ เป็นกิจกรรมหลักกิจกรรมหนึ่งตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเล่นอย่างอิสระจากของเล่นตามมุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ในห้องเรียน เช่น มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมธรรมชาติ มุมบ้าน มุมร้านค้า เป็นต้น นอกจากจะให้เด็กเล่นตามมุมแล้ว ครูอาจจะให้เด็กทำกิจกรรมที่ครูจัด เช่น เกมการศึกษา เครื่องเล่นสัมผัส กิจกรรมสร้างสรรค์ประเภทต่างๆ ซึ่งการจัดกิจกรรมเสรีนี้เป็นการให้เด็กได้เล่นอิสระ ตอบสนองความสนใจของตนเอง เด็กจึงมีโอกาสได้คิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาและพัฒนาความรู้ โดยผู้ใหญ่เลือกใช้วิธีการส่งเสริมให้เด็กเล่นด้วยวิธีการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก ให้เด็กได้คิดรูปแบบการเล่นตามความสนใจและความต้องการ ทั้งที่เล่นเป็นรายเดี่ยวและเล่นเป็นรายกลุ่ม จึงเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้การเข้าสังคมของเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพราะการเล่นเป็นกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตเด็กทุกคน เด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้สังเกต ได้เรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่น มีโอกาสทำการทดลอง สร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา และค้นพบด้วยตนเอง ได้ใช้ประสาทสัมผัส การรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และแสดงออกถึงตนเอง ผลจากเล่นจะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ซึ่งจะพัฒนาลักษณะทางสังคมของเด็กปฐมวัยผ่านการเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เช่น การให้ความร่วมมือ การเป็นผู้นำผู้ตาม การเห็นอกเห็นใจ การแบ่งปันสิ่งของ การช่วยเหลือตนเอง และการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้

กิจกรรมเสรีมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?

การเล่นเสรีหรือกิจกรรมเสรีมีประโยชน์ต่อเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกส่วน ดังนี้
  • ด้านร่างกาย เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่
  • ด้านอารมณ์-จิตใจ เด็กจะร่าเริงเบิกบาน มีอิสระในการเลือกเล่นสิ่งที่ตนสนใจ เด็กได้ระบายอารมณ์และความรู้สึกขณะเล่น ผ่อนคลายความตึงเครียด
  • ด้านสังคม เด็กรู้จักตนเอง รู้จักบุคคลรอบด้าน (จากการเล่นสมมุติ) รู้จักเพื่อนที่เล่นด้วย ขณะเล่นเด็กได้มีโอกาสรู้จักบทบาทของตนเองและผู้อื่น รู้จักการผ่อนปรนและรอคอย อดทนต่อความไม่สมหวัง รู้จักการแบ่งปัน รู้จักการร่วมมือกับคนอื่น เป็นต้น
  • ด้านสติปัญญา เด็กได้หัดใช้ความคิด ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้มีโอกาสสืบค้นหาคำตอบหรือบางครั้งการเล่นทำให้เด็กได้สร้างความรู้ โดยไม่ต้องจัดกิจกรรมอย่างเป็นทางการ เช่น การที่เด็กเล่นน้ำ เด็กกรอกน้ำใส่ขวด เด็กจะได้เห็นน้ำไหลผ่านปากขวดไปอย่างง่ายดาย แตกต่างจากการเอาก้อนหินใส่ขวดและหากก้อนหินก้อนใหญ่กว่าปากขวด ก้อนหินจะไม่ผ่านปากขวดไป เด็กได้เห็นน้ำแปรเปลี่ยนรูปร่างเช่นเดียวกับขวด เห็นมือของเขาเปียกน้ำ แต่สักครู่มือก็แห้งได้ น้ำหายไปไหน เป็นต้น การเล่นเสรีจึงเป็นส่วนการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก

ครูจัดกิจกรรมเสรีให้ลูกที่โรงเรียนอย่างไร?

ในการจัดกิจกรรมเสรีที่โรงเรียน ครูจะจัดศูนย์การเรียนไว้ในห้องเรียนให้เด็กเลือกเล่นตามความสนใจ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • มุมศิลปะ เด็กอาจเล่นปั้นดินเหนียวหรือปั้นแป้งที่ผสมน้ำแล้ว ดินเหนียวหรือแป้งนั้นจะเป็นรูปร่างกลม รูปแบน รูปเหลี่ยม หรืออื่นๆ ได้ตามที่เด็กทำขึ้น แต่หากนำทรายร่วนหรือ แป้งร่วนมาปั้น ก็ไม่สามารถปั้นเป็นรูปร่างได้ การเล่นจึงเป็นประโยชนต่อเด็ก ขณะเด็กเล่นเด็กได้สังเกตจากการสัมผัสวัตถุ ประสาทสัมผัสของเด็กได้ทำงาน ดังการปั้นแป้งหรือดินเหนียวที่กล่าวมานั้น มือเด็กสัมผัสแป้ง เด็กรับรู้ความชื้นของแป้ง จมูกได้กลิ่นแป้งดิบ ตาได้เห็นสี รูปร่างของแป้งที่ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ เด็กจึงรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสตา หู ผิวหนัง จมูก เป็นผลให้เกิดการสร้างปัญญาและความคิดของเด็กงอกงาม ทั้งนี้เพราะเกิดการสร้างกระบวนการทางสมองในการคิดเพื่อการเรียนรู้ การรับรู้ด้วยการสัมผัส การเพิ่มพูนความรู้ของเด็กเกิดการสัมผัสของเล่นและบุคคล
  • มุมเกมการศึกษา เด็กได้รู้จักการจัดพวก การลำดับ การสังเกต จำแนก ทำนาย สรุปภาพการเปรียบ หาเหตุผลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดปัญญาและความสามารถทางวิชาการ เด็กจะเล่นผ่านการใช้ร่างกาย (Sensory motor) หรืออีกนัยหนึ่งคือการเล่นสำรวจ (Exploratory Play) คือ มีความสนใจ สงสัย กระตือรือร้นในสิ่งต่างๆ รอบตัว บางครั้งเด็กเล่นเลียบแบบ เพราะเด็กสังเกต เป็นความสามารถของเด็กที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นการกระทำที่เคลื่อนไหว มีอิริยาบถ มีการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ มีการทวนซ้ำ จะนำเด็กไปสู่การค้นพบ การแก้ปัญหา การเล่นสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเพราะเด็กเริ่มรู้คุณสมบัติของวัตถุบางชนิดแล้ว การเล่นสร้างสิ่งต่างๆนี้ผู้เล่นจะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมลักษณะต่างๆ โดยเด็กจะนำเอาประสบการณ์ต่างๆ ของตนเข้ามารวมกันทั้งอารมณ์ ความคิด เหตุผล จะสามารถแยกสิ่งแวดล้อมต่างๆ ออกได้ว่าแตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร แล้วนำมาหาความสัมพันธ์กัน
  • มุมบทบาทสมมุติ เป็นการเล่นลักษณะจินตนาการ ใช้สิ่งของแทนของเล่นและแทนสิ่งต่างๆ เช่น ใช้ม้านั่งสองขาแทนน้องเล็กๆ ใช้ใบไม้แทนมงกุฎนางฟ้า เป็นต้น ขณะเล่นเด็กจะเปลี่ยนของเล่นสมมุติเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เด็กอาจจะเอาท่อนไม้แทนบ้าน แล้วเติมสิ่งของหรือนำออก บ้านก็จะเปลี่ยนเป็นร้านค้าก็ได้โดยใช้คำพูดถ่ายทอดการเล่นออกมาแทน ทั้งนี้เพราะเด็กสามารถมองเห็นเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่ในใจหรือในจินตนาการของตนเอง การเล่นลักษณะเช่นนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนและบ่อยๆ เด็กจะแสดงออกถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ขณะเล่นด้วยการเล่นไปพูดไป (Verbal Play) เด็กจะพูดเกี่ยวกับโลกของตน คำพูดอาจจะนำมาจากนิทานที่อ่านหรือฟังมา เช่น เล่นเป็นครู เล่นเป็นพ่อเป็นแม่ เด็กจะเริ่มเล่นกับเพื่อน มีเพื่อนมาเล่นจินตนาการร่วมกัน แต่จะเล่นสมมุติเป็นตัวละครที่แต่ละคนจินตนาการ แสดงถึงเด็กต้องการสังคมในการเล่นการเล่นสมมุติจะเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กก้าวไปสู่การพัฒนาการที่สูงกว่า การเล่นสมมุติจะมีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา ทางภาษา พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านสังคมเป็นต้น
  • มุมบล็อก เด็กเล่นสร้างก้อนไม้หรือไม้บล็อก นำมาต่อกันตามจินตนาการเป็นรูปทรงต่างๆ อย่างอิสระ
นอกจากนี้กิจกรรมเสรีอาจจัดนอกห้องเรียน ได้แก่ การเล่นน้ำ เล่นทราย จากบ่อน้ำ บ่อทราย ที่จัดขึ้นพร้อมจัดหาวัสดุของเล่นจากร้านค้าและวัสดุเหลือใช้นำมาประดิษฐ์ขึ้นคล้ายของจริง เช่น นำขวดน้ำพลาสติกมาตัดครึ่งเฉียงออกเป็นสองชิ้นใช้แทนเสียมตักดิน และกรวยกรอกน้ำ เป็นสิ่งที่เด็กชอบเล่นมาก ใช้ตักดิน กรอกน้ำเล่นที่มุมน้ำ มุมทรายที่จัดไว้นอกห้องเรียนเพราะเล่นเลอะเทอะเปรอะเปื้อนได้ ทำความสะอาดง่าย และสะดวก

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะช่วยส่งเสริม/เพิ่มเติมให้ลูกได้อย่างไร?

เด็กปฐมวัยจะเล่น และสร้างแบบการเล่นของตนเองอยู่แล้ว แสดงความเป็นตัวเองตามธรรม ชาติของเด็กวัยนี้ เด็กจะเล่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าที่บ้านหรือโรงเรียน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็กผ่านการเล่นด้วยความรักและเข้าใจ เพื่อนเล่นของเด็กที่บ้านคือ พ่อแม่ ญาติ พี่น้องและเพื่อนบ้าน ลักษณะการเล่นที่บ้านของเด็กมีลักษณะสอดคล้องกับกิจกรรมเสรีที่โรงเรียน ครอบครัวสามารถสร้างกิจกรรมการเล่นให้แก่เด็กได้ง่ายๆ เช่น การเล่นบทบาทสมมุติตามนิทาน เล่นต่อบล็อก เล่นน้ำ เล่นทราย พ่อแม่อาจหาทราย หาน้ำใส่กะละมัง หรืออ่าง พร้อมวัสดุตักดิน ตักน้ำ บางครั้งครอบครัวมีกิจกรรมไปเที่ยวชายหาด ลูกจะได้เล่นน้ำ เล่นทราย ที่บ้านจัดมุมหนังสือสำหรับเด็ก มุมดนตรี เป็นมุมส่งเสริมการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวได้ เพื่อส่งเสริมการเข้าสังคมของเด็กปฐมวัย ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมพื้นฐานที่อบรมเลี้ยงดูเด็ก บางครั้งพี่น้องวัยใกล้เคียงกันเขาเล่นสมมุติด้วยกันได้ พ่อแม่คอยสนับสนุนการเล่นของเด็ก การเล่นสมมุติอาจจะมีบทบาทอื่นเช่น เป็นบุคคลในชุมชน เป็นแม่ค้า เป็นบุรุษไปรษณีย์ โดยพ่อแม่เป็นผู้สนับสนุนการเล่น เป็นผู้จัดหาสื่อของเล่น และเป็นผู้คอยสัง เกตความสนใจและการเล่นของเด็ก คอยตั้งคำถามให้เด็กหัดคิดและตัดสินใจเล่น สิ่งสำคัญพ่อแม่คือผู้สร้างบรรยากาศที่ดีในการเล่น ใช้ภาษาสุภาพเหมาะสมกับเหตุการณ์ เพื่อให้เด็กได้เลียนแบบการเข้าสังคม กิจกรรมเสรีจึงเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยคือเด็กชอบเล่น และเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จากการเล่น และเด็กวัย 3-5 ปี เป็นระยะเข้าสู่สถานศึกษา จึงเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่สังคมของเด็กปฐมวัย

เกร็ดความรู้เพื่อครู

กิจกรรมเสรีเป็นลักษณะของการส่งเสริมการเล่นอย่างอิสระของเด็ก เด็กมีโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมจากการเล่นผ่านกิจกรรมเสรี ครูคือผู้สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก จึงควรคอยสังเกตเด็กขณะเด็กเล่น หากว่าบางมุมที่เด็กไม่สนใจเล่นแล้ว ครูควรปรับเปลี่ยนสื่อหรือเปลี่ยนเป็นมุมอื่น เช่น อาจดัดแปลงมุมบ้านเป็นมุมร้านค้า มุมหมอ ครูควรสอนให้เด็กคิดแก้ ปัญหาในกรณีที่บางมุมมีเพื่อนเข้าเล่นจำนวนมากเกินไป บางครั้งเด็กสนใจการเล่นมุมใดมุมหนึ่งเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เด็กขาดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านอื่น ครูควรชักชวนให้เด็กเรียนรู้มุมอื่นบ้าง และครูต้องมีการสับเปลี่ยนสื่อหรือเพิ่มเติมเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เด็กเบื่อ